หลังจากที่กรำศึกกับงานและงานมาหลายต่อหลายเดือน ข้าพเจ้าได้ใช้เวลาสองวันที่ผ่านมากลับไปตามรอยชีวิตช่วงมหาวิทยาลัยของตัวเองโดยการกลับไปที่คณะ ขับรถจากตัวเมืองไม่นานข้าพเจ้าก็ได้กลับเข้ารั่วมหาวิทยาลัยอีกครั้ง หลังจากที่ผ่านมา 8 ปี บอกกับตัวเองว่าอยากพบอาจารย์ที่เคยประสิทธิ์ประสาทวิชาความรู้ให้สักครั้ง แต่ก็พบแต่เพียงหน้าห้องทำงานเพราะโชคร้ายที่อาจารย์วศินท่านติดประชุม อ.อธิศ ไม่อยู่ เนื่องจากปิดภาคเรียน
ข้าพเจ้าเดินไปวนไปวนมาในคณะ เพื่อระลึกความหลังเก่าๆ ภาพตัวเองเดินไปเดินมาในคณะ ภาพที่นั่งเรียนอยู่ในห้องเรียน เพื่อนๆที่เคยกิน เคยหัวเราะ และกิจกรรมในคาบเรียนที่เราเคยทำด้วยผุดขึ้นในหัวอย่างต่อเนื่องเหมือนในหนัง ทำให้ข้าพเจ้าเผลอยิ้มออกมาอยากมีความสุข คณะที่เคยเรียนดูเก่าและทรุดโทรมลงไปมาก โต๊ะที่เคยนั้งยังคงอยู่ที่เดิมของมัน ห้องต่างๆที่เคยรู้จักก็สลับย้ายที่ ประตูห้องประชุมที่เคยสีสันเข้มก็จากลง เสียงซ้อมเชียร์ของนักศึกษายังคงดังก้องมาจากอาคารกิจกรรมหลังใหม่อย่างต่อเนื่อง มหาวิทยาลัยวันนี้ได้เปลี่ยนไปแล้วแต่สิ่งที่ยังสัมผัสได้เสมอคือกลิ่นอายของมหาวิทยลัยที่ยังคงเหมือนเดิม คงไว้ซึ่งมลคลังแบบมหาวิทยาลัยนเรศวร ที่หากผู้ที่ไม่เคยศึกษาที่นี้คงไม่มีวันเข้าใจ
ข้าพเจ้าเดินเลยมาถึงตึก IT ทุกอย่างยังแทบจะเหมือนกับเมื่อสมัยที่ผมทำงานอยู่ ข้าพเจ้าเดินเข้าไปที่ห้องธุรการเพื่อมองหาคนรู้จัก เมื่อเปิดประตูเข้าไปมีคุณพี่่คนหนึ่งจำผมได้แม้จะหลายปีแล้ว ทักทายกันสักพัก รุ่นน้องที่คณะที่เคยทำงานด้วยกันในวันนั้นก็เดินเข้ามาในห้อง วันนี้เธอกลายเป็นเจ้าหน้าที่เต็มตัวเห็นก็อดยิ้มไม่ได้ ข้าพเจ้าถามหาพี่ขวัญ เพราะข้าพเจ้าอยากพบแต่ไม่รู้ว่าจะไปหาที่ไหน เมื่อสอบถามจนได้ความว่าแกย้ายไปอยู่กองบริการนิสิตแล้ว ภาระกิจตามรอยอดีตของผมจึงไม่ถือว่าล้มเหลวเสียทีเดียว
ในที่สุดข้าพเจ้าได้เจอกับพี่ขวัญ ผู้ที่เป็นทั้งพี่ ทั้งอาจารย์ และเพื่อนร่วมงานที่ผมนับถือและจัดว่าคุ้นเคยกันมากที่สุด เราได้นั่งคุยกันในเรื่องเก่าๆ ส่วนใหญ่ก็ประวัติอันไม่น่าจดจำของผม ที่เคยก่อเรื่องน่าปวดหัวไว้ ซึ่งได้ทั้งข้อคิดและแนวคิดในการทำงานต่อไปของผมต่อไป เรามีเวลาจำกัด เพียงกาแฟหมดแก้วก็ต้องแยกย้ายกันไป
ข้าพเจ้าขับรถออกจากรั้วมหาวิทยาลัยอย่างมีความสุขความทรงจำเกี่ยวกับชีวิตในรั่วมหาวิทยาลัยในยุคสมัยของข้าพเจ้าจะคงอยู่ในตัวของข้าพเจ้าตลอดไป
อดีตนักศึกษาปี 44'